วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2554

พ่อเอี่ยมแห่งบ้านดงยาง: นักประดิษฐ์นวัตกรรมสู้โลกร้อน





"พ่อเอี่ยม" แห่งบ้านดงยาง
ท่ามกลางอุณหภูมิที่สูงขึ้นทุกขณะ และภัยพิบัติที่ทั่วโลกกำลังเผชิญ ทั่วทุกมุมโลกกำลังพยายามหาทางออกให้กับวิกฤตการณ์ครั้งนี้ หลายฝ่ายเฝ้ารอการประชุมข้อตกลงวางแผนในระดับนโยบายร่วมกันทั่วโลก ในขณะที่สถานการณ์ต่างๆที่เป็นผลจากโลกร้อนได้ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของคนทุกคนแล้ว
โดยเฉพาะ ภาคการเกษตรที่ต้องพึ่งพาอาศัยฝนฟ้าอากาศจากธรรมชาติในการเพาะปลูกพืชพันธุ์ อย่างที่เราได้เห็นจากข่าวสารที่นำเสนอในแต่ละวัน  ไม่ว่าจะเป็น ความแห้งแล้งในฤดูร้อน  น้ำท่วมในฤดูฝน  แมลงศัตรูพืชระบาด หรือ สภาพอากาศที่คาดเดาได้ยากไม่เป็นไปตามฤดูกาล สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้ผลิตผลทางการเกษตรได้รับความเสียหาย แล้วผู้ที่แบกรับความเสี่ยงเหล่านี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากเกษตรกรเอง
ในขณะที่หลายๆคนยังรอคอยการแก้ไขในระดับนโยบายจากหน่วยงานภาครัฐ ยังมีเกษตรกรกลุ่มหนึ่งใน จ.ยโสธร ได้ร่วมมือกันลุกขึ้นมาต่อสู้และวางแผนรับมือกับสถานการณ์โลกร้อน และจากการร่วมกลุ่มกันครั้งนี้เอง ทำให้เกิดนักสู้กับการปรับตัวโลกร้อนขึ้นหลายต่อหลายคน ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ พ่อเอี่ยม สมเพ็ง ผู้ที่ชอบเรียนรู้ ทดลองและประดิษฐ์สิ่งแปลกๆใหม่ๆ ที่นำมาใช้ในการรับมือกับโลกร้อน แห่งบ้านดงยาง ต.บากเรือ อ.มหาชนะชัย จ.ยโสธร

เกษตรอินทรีย์ผสมผสาน การปรับตัวของเกษตรกรในวันที่โลกร้อน
พ่อเอี่ยมเป็นชาวนามากว่า 30 ปีปลูกข้าวหอมมะลิ และข้าวเหนียวบนที่นาประมาณ 20 ไร่แต่เดิมทำนาใช้สารเคมีเป็นหนี้เป็นสินบางปีฝนตกน้อย นาข้าวหว่านไปแล้วไม่ขึ้น บางปีน้ำท่วมหนัก ยังไม่ทันเกี่ยวข้าวก็จมน้ำ เป็นอย่างนี้สลับกันไปมาทุกปีโดยเฉพาะช่วงปีพ.ศ. 2549-50 ที่ฝนแล้งมาก อีกทั้งสุขภาพก็เสื่อมลงจากการใช้สารเคมี จนทำให้พ่อเอี่ยมคิดที่จะเลิกทำนา แต่เมื่อลองย้อนกลับไปทบทวนหาสาเหตุที่เกิดขึ้น และเรียนรู้กับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต ทำให้พ่อเอี่ยมไม่รอช้า ลุกขึ้นมาปฏิวัติรูปแบบการทำนาใหม่
โดยสิ่งแรกที่ปฏิวัติคือการหันหลังให้กับสารเคมี และเปลี่ยนมาทำนาแบบเกษตรอินทรีย์แทน หลังจากได้เห็นพื้นดินที่ขาดความอุดมสมบูรณ์ และเสื่อมโทรมลง จนผลผลิตที่เคยเก็บเกี่ยวได้ลดลงไปมาก จากนั้นพ่อเอี่ยมก็เริ่มวางแผนทำนา โดยเอาประสบการณ์ของตัวเอง ซึ่งคอยบันทึกข้อมูลเรื่องฝนตกในแต่ละปี แต่ละวัน และวันละกี่ชั่วโมง ตลอด 10 ปีมาร่วมในการวางแผนทำนา เพราะใน จ.ยโสธร ยังมีระบบชลประทานน้อย ต้องรอฝนจากฟ้าเพียงอย่างเดียว เมื่อนำเอาข้อมูลเรื่องฝนตกมาวางแผนในการทำนา ทำให้คาดเดาได้ว่าฝนน่าจะเริ่มตกเมื่อไร แล้วต้องเริ่มหว่านกล้ารอฝนเมื่อใด
นาอินทรีย์ของพ่อเอี่ยม

           

ผักสวนครัวแหล่งสร้างความมั่นคงทางอาหาร

นอกจากระบบเกษตรอินทรีย์ที่เป็นจุดเริ่มแล้วการปลูกพืชให้มีความหลากหลายมากขึ้น เช่น ผักสวนครัวผลไม้ และต้นไม้พื้นถิ่น ยังสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับพ่อเอี่ยมอีกด้วย เพราะถ้าปลูกข้าวไม่ได้ ก็ยังมีผัก ผลไม้ไว้ทานได้ ซึ่งนอกจากความอยู่รอดแล้ว การปลูกผัก ผลไม้เอง ก็ยังสร้างมั่นใจในการรับประทานอาหาร เพราะ มั่นใจได้ว่าไม่มีสารเคมีปนมาด้วย
แต่จากสถานการณ์ปัจจุบันที่ฤดูกาลค่อยๆเลื่อนออกไป จนคาดเดาได้ยากขึ้น และบ่อยครั้งที่พอฝนตกก็ตกไม่มาก หรือบางทีก็ตกหนักจนน้ำเยอะไป หากยังคงทำตามแผนเดิมจากข้อมูลที่เคยเก็บไว้ในอดีตคงไม่ได้แน่ แต่อย่างไรก็ตามพ่อเอี่ยมก็ตั้งใจว่า เราต้องปรับตัวเองให้อยู่ได้กับภาวะอากาศที่เปลี่ยนไป
สิ่งสำคัญของการเพาะปลูกคือระบบน้ำในไร่นา ซึ่งพ่อเอี่ยมได้ทำการขุดสระน้ำ 1 ไร่ และบ่อใต้ดิน กระจายในแปลงนา รวมประมาณ 8 แห่ง ซึ่งสระที่ขุดไว้นอกจากจะกักเก็บน้ำในช่วงหน้าฝนไม่ให้ท่วมแปลงนา แล้วในช่วงหน้าแล้งยังได้นำน้ำออกมาใช้ ทำให้พ่อเอี่ยมสามารถจัดการน้ำในแปลงให้พอเพียงกับการเพาะปลูกตลอดทั้งปี แต่ในการสูบน้ำขึ้นมาใช้จากสระและบ่อใต้ดิน ก็เพิ่มต้นทุนให้กับพ่อเอี่ยมซึ่งต้องใช้น้ำมันในการสูบน้ำ และนี้ก็เป็นอีกโจทย์หนึ่งที่สร้างความท้าทายให้กับพ่อเอี่ยมในการคิดค้นวิธีการสูบน้ำ โดยไม่ต้องใช้น้ำมัน
จากการจัดการน้ำในแปลงเกษตร สู่นักประดิษฐ์พลังงานทำมือ

              หลังจากค้นคว้าหาวิธีการสูบน้ำแบบต่างๆ พ่อเอี่ยมก็มาคิดถึงทรัพยากรที่อยู่ใกล้ตัวเรา และไม่ต้องเสียเงิน เป็นของจากธรรมชาติ นั่นก็คือ ลม ซึ่งตั้งแต่โบราณก็มีการใช้ลมในการสูบน้ำอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นการทำนาเกลือ หรือการสูบน้ำในการเกษตร
              แต่โจทย์ต่อมาที่พบก็คือ ในพื้นที่มีลมอ่อนถึงปานกลาง แล้วลมอ่อนๆจะมีแรงพอที่จะสูบน้ำขึ้นมาได้หรือไม่ ซึ่งพ่อเอี่ยมได้รวมกลุ่มกับเพื่อนๆที่สนใจการทำกังหันลม ลองประดิษฐ์กังหันลมแบบต่างๆ โดยที่แต่ละคนจะมีแนวคิด และรูปแบบของกังหันลมที่แตกต่างกันไป เมื่อใครลองทำอะไร ก็จะนำมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและช่วยกันพัฒนาให้ดีขึ้น



กังหันลมสูบน้ำผู้ช่วยในการรับมือสภาวะอากาศแปรปรวน
             สำหรับพ่อเอี่ยมได้ลองทำกังหันลมแนวแกนนอน โดยใบพัดทำมาจากเศษวัสดุที่หาได้ง่าย ตั้งแต่ผ้า แผ่นโฆษณาหาเสียง จนแผ่นอลูมิเนียม ส่วนเพลาที่ใช้หมุนเพื่อนำไปสูบน้ำก็ดัดแปลงมาจากเครื่องเจียรบ้าง จักรยานบ้าง ซึ่งในการทดลองแต่ละครั้ง จากร้อยพันครั้ง พ่อเอี่ยมได้เรียนรู้และเก็บเกี่ยวสิ่งต่างๆเพิ่มเติม ไม่ว่าการทดลองนั้นจะสำเร็จหรือล้มเหลว และในที่สุดพ่อเอี่ยมก็สามารถพัฒนากังหันลมที่เหมาะกับสภาพพื้นที่ของพ่อเอี่ยม และสามารถสูบน้ำขึ้นมาใช้งานได้ในแปลงนาเป็นผลสำเร็จ 

นอกจากกังหันลมแล้ว พ่อเอี่ยมและเพื่อนๆในกลุ่มได้ร่วมเรียนรู้ถึงเรื่องของพลังงานหมุนเวียน ซึ่งเราสามารถนำเอาสิ่งที่อยู่ใกล้ๆตัวมาแปลงเป็นพลังงานที่ใช้ในชีวิตประจำวันได้ อย่างเรื่องง่ายๆ เช่น ก๊าซหุงต้ม ที่พ่อเอี่ยมจึงได้ลองทำบ่อก๊าซชีวภาพจากมูลสัตว์และเศษอาหารในครัวเรือน โดยใช้บ่อหมักก๊าซรูปโอ่ง ขนาดประมาณ 2,200ลูกบาศก์เมตร ซึ่งการหันมาทำก๊าซชีวภาพใช้ ทำให้พ่อเอี่ยมลดการใช้ก๊าซถังหุงต้ม นอกจากนี้ยังช่วยกำจัดเศษอาหารที่เหลือ และกากที่ออกมาจากบ่อหมักก็ยังนำไปใช้เป็นปุ๋ยได้อีกด้วย
แม้การทำก๊าซชีวภาพใช้เองจะประสบความสำเร็จแล้ว แต่พ่อเอี่ยมก็ยังไม่หยุดคิดค้นและพัฒนาก๊าซชีวภาพ ซึ่งก๊าซชีวภาพที่ได้นั้นเมื่อนำจุดไฟ เปลวไฟจะค่อนข้างอ่อน เนื่องจากบ่อหมักก๊าซและห้องครัวอยู่ห่างกันประมาณ5เมตร ทำให้แรงดันก๊าซน้อย พ่อเอี่ยมจึงนำเอาหลักการของแอร์แวร์ ที่มีใช้ในการส่งน้ำให้ได้ไกลขึ้น มาประยุกต์ใช้ ทำให้เมื่อจุดไฟ เปลวไฟจึงแรงขึ้นตามความต้องการของแม่บ้าน

เตาก๊าซชีวภาพเสริมด้วยระบบแอร์แวร์เพื่อเพิ่มความแรงของเปลวไฟ
งานอดิเรก กับเศษฟางเงินล้าน
               นอกจากพ่อเอี่ยมจะเป็นนักประดิษฐ์แล้ว ยังมีความเป็นศิลปินในตัวด้วย เมื่อเสร็จจากงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำนา ทำสวน ดูแลสัตว์ และทดลองกังหันลมแล้ว ในเวลาค่ำคืนอันเงียบสงบ พ่อเอี่ยมจะเริ่มลงมือทำงานศิลปะ จากฟางข้าว ซึ่งมีทั้งความละเอียด ประณีตและความสวยงาม
             ซึ่งแต่ละรูปพ่อเอี่ยมใช้ฟางไม่ถึงหนึ่งกำมือ และบรรจงค่อยๆตัด ค่อยๆวางเศษฟาง ค่อยๆทากาว ลงบนแผ่นไม้ โดยมีการเน้นแสงและเงา มิติของภาพ ตลอดจนความกลมกลืนเสมือนจริง ทำให้มีคนสนใจและขอซื้องานศิลปะของพ่อเอี่ยม โดยรูปๆหนึ่ง จากเศษฟางไม่ถึงกำ สามารถทำเงินให้พ่อเอี่ยมได้เป็นหลักพัน แม้เป็นแค่เพียงงานอดิเรกก็สามารถสร้างรายได้ให้กับพ่อเอี่ยมได้เช่นกัน
            จากสถานการณ์โลกร้อนในปัจจุบัน การตั้งรับรอคอยทิศทางนโยบายจากฝ่ายวางแผนเพียงอย่างเดียว คงไม่สามารถทำให้เรารับมือกับสถานการณ์ต่างๆได้อย่างทันท่วงที หากแต่เราผู้ซึ่งรู้จักทรัพยากรและท้องถิ่นของเราเองดีกว่าฝ่ายวางแผนใด เริ่มวางแผนเพื่อรับมือโดยอาศัยความรู้ ประสบการณ์ที่มี และความพร้อมที่จะเรียนรู้และพัฒนา โดยไม่ย่อท้อต่อความล้มเหลว หากแต่ผลักดันให้เป็นบทเรียนและความพยายามที่จะข้ามฝ่าอุปสรรคต่างๆ อย่างพ่อเอี่ยม เราก็จะสามารถปรับตัวและรับมือกับโลกร้อนได้อย่างปลอดภัยและมีความสุข
ศิลปะจากเศษฟางผลงานพ่อเอี่ยม
         
         



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น